Tuesday, September 19, 2006

Shopping and Cooking

หลังจากกลับมาจาก San Francisco ก็ลงมือทำแลบอีกครั้ง ห้าโมงเย็นปุ๊บกลับหอทันทีเพราะนัดกับหญิงว่าจะไป shopping ซื้ออุปกรณ์ทำขนม รวมทั้งตุนอาหารรอรับหน้าหนาวที่จะมาถึง เพราะได้ยินมาว่าหนาวหนักหนาวหนา เลยไม่กล้าเสี่ยง ที่สำคัญคือข้าวสาร หญิงหอบข้าวสารขึ้นรถเมล์วันละถุง ถุงเกือบสิบโล ตอนนี้มีข้าวสารตุนเกือบยี่สิบโล กินจนถึงวันกลับเมืองไทย ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะหมดรึปล่าว เพราะยังมีเส้นลาซานยา สปาเก็ตตี และมักกะโรนี ยังไม่รวมเส้นหมี่กะเส้นบะหมี่ที่มีอยู่เดิม เปิดร้านขายของชำได้เลยนะเนี่ย นอกจากนี้ก็มีกาแฟกระป๋องหย่าย หญิงบอกถ้ามีเวลาให้ไปซื้อน้ำปลามาตุนไว้สักสองสามขวด



หน้า super one


กลับจาก shopping แม่ครัวใหญ่ก็สาธิตการทำอาหาร ทั้งของคาวและของหวาน เริ่มต้นที่ swedish meat ball, lasagna แล้วก็ spaghetti meat sauce


กะละมังใบนี้ตัดใจซื้อนะ แพงมากตั้งสามเหรียญกว่า แต่ถ้าไม่ซื้อไม่รู้เอาไรผสมแป้งเวลาทำอาหารฝรั่งและขนม

แม่ครัวอารมณ์ดีคะกำลังปั้น swedish meat ball
แต่ขอบอกว่ามีกั๊กสูตรด้วย จริงๆ เธอลืม ต้องตีไข่ใส่ด้วย เพิ่งนึกออกตอนทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว

lasagna คะ ทำไปบ่นไป เพราะถาดที่ใส่มันเล็กไม่ได้ขนาดแผ่น lasagna ต้องหักเป็นท่อนๆ

เสร็จแล้วก็หน้าตาเป็นแบบนี้แหละ หย่อยๆ อ้วนดีด้วย

San Francisco: Golden Gate Bridge

หลังจากที่นั่ง cable car สำรวจมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ก็ออกเดินทางด้วยลำแข้งตัวเอง เพื่อไปยังจุดหมายคือ Golden Gate Bridge เดินผ่าน Maritime ขึ้นเขา ลงเขา แล้วก็เดินทางลาดเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ มีคนเดินไปพอสมควร แต่ส่วนใหญ่จะปั่นจักรยานกัน มีจักรยานให้เช่าแต่เราหยิ่ง อยากเดินมากกว่า


บนภูเขาที่ต้องเดินข้ามจาก Maritime ไปอีกฝั่ง

เดินไปเรื่อยๆ ชักไกลแฮะ แต่ก็ยิ้มสู้ ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ มองเห็น Golden Gate อยู่ไม่ไกล แต่เดินเท่าไหร่ก็ยังไม่ถึงซักที เดินแบบไม่มีหยุดพักเลยนะ พอเข้าใกล้ก็ต้องเดินขึ้นเขาอีก และแล้วก็ถึงจุดหมาย แต่ใจคอไม่ค่อยดี เพราะหมอกเยอะมาก แทบจะไม่เห็นสะพานอีกแล้ว เดินข้ามสะพานจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งนึงแล้วเดินกลับ หลายกิโลเหมือนกัน แต่บ้าไง ขอเดินข้ามให้ถึงอีกฝั่งเหอะ เมื่อยก็เมื่อย แต่โชคดีที่เดินไปเรื่อยๆ หมอกค่อยๆ จางลง ก็ได้รูปแบบหลายบรรยากาศอย่างที่เห็นนั่นแหละ ขากลับป้าสองคนเมื่อยเต็มทน เลยขอนั่งรถเมล์กลับ มาลงตรงที่เดินข้ามเขาไป สรุปว่าก็ต้องเดินข้ามเขาลูกเดิมอีก แต่ก็ย่นระยะทางและกำลังขาไปได้เยอะ ว่าไปแล้วสะพานพระรามแปดบ้านเราก็สวยไม่แพ้ Golden Gate หรอก อ้อ! แล้วตอนเดินกลับนี่แหละที่ทำให้รู้ว่า cable car ที่เราไปนั่งวันก่อน ไม่ใช่ของโบราณที่เห็นในรูป ที่วิ่งบนรางแล้วมีคนห้อยต่องแต่งออกมานอกรถ ของจริงคนกำลังต่อแถวรอขึ้นกันยาวเหยียด หญิงอยากไปนั่ง แต่เราไม่ไหวแล้ว ก็เลยแยกกัน ซักพักหญิงกลับมาบอกยังไม่ได้นั่ง ตั๋วเต็มหมดแล้ว ก็เลยนอนพักรอกินข้าวเย็น แต่แล้วหญิงก็ไม่ลดละความพยายามอ่าน brochure บอกว่าขึ้นไปซื้อตั๋วบนรถก็ได้ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จหญิงไปนั่งรถรางส่วนเราเดินกลับโรงแรม ขอบอกว่ามื้อนี้กินหรูอีกแล้ว หลังจากเมื่อวานกินปู วันนี้ขอเป็น Lobster คะ เพราะมาดามณัฐชาบอกว่าเงินที่สามีให้มาและย้ำว่าให้ใช้ให้หมดยังเหลืออีกเพียบ มีแต่รูปปู ไม่มี lobster เพราะลงมือกินไปแล้วมือเปื้อนขี้เกียจเช็ดมือ เลยไม่ได้ถ่ายไว้


Golden Gate ล้วนๆ

เพิ่มพลังงานกับปูต้มตัวหย่ายๆ หลังจากเดินมาทั้งวัน แต่ไม่ต้องถามถึงราคานะ ดูจากแววตามาดามณัฐชาแล้วแพงก็คุ้ม

พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับ Grand Forks แล้ว เร็วเหมือนกัน แต่ก็เที่ยวที่สำคัญๆ ของ San Francisco เกือบทั่ว เครื่องออกจาก SFO เวลา 12.10 pm ถึง minneapolis 5.53 pm เวลาที่ San Francisco ช้ากว่ากับ Grand Forks ประมาณสองชั่วโมง รอต่อเครื่องประมาณสามชั่วโมง เครื่องออกจาก Minneapolis ตอน 9.00 pm ถึง Grand Forks 10.10 pm คุณเดมารับที่สนามบิน

San Francisco: Alcaltraz Island

Alcaltraz Island หรือที่รู้จักกันในชื่อของ The Rock เป็นเกาะที่อยู่กลางทะเล เวลายืนมองจากฝั่งออกไปเกาะอยู่ไม่ไกลจาก Fisherman's Whaft เราซื้อตั๋วไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตั้งใจจะไปตั้งแต่เมื่อวาน (วันที่ 11 ก.ย.) แต่ตั๋วเต็มหมด คิวจองตั๋วยาวทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น เจ้าหน้าที่บอกว่าจองไว้ก่อนได้ เราก็เลยจองเลย ค่าเรือไป-กลับ คนละ 11.50 เหรียญ เราซื้อตั๋วแบบที่ไม่เอา Audio ซึ่งจะมีคำบรรยายรายละเอียดของ Alcaltraz แต่ละส่วน เขาแจกตอนที่ไปถึง Alcatraz เราไม่เอาเพราะค่าตั๋วแพงกว่า แถมอาไปก็ฟังไม่ออกหรอก

รอเวลาลงเรือ

นกของจริงนะ

นั่งเรือออกไปสิบห้านาทีได้มั้งก็ถึงเกาะแล้ว แต่ตอนรอจะลงเรือนี่ซินานกว่า ก็คนเยอะนี่นา เรือออกเป็นเวลาตามที่ระบุในตั๋ว ตอนนั่งเรือมองออกไปก็จะเห็น Golden Gate Bridge, Bay Bridge และบ้านเมืองของ San Francisco ซึ่งเรารู้สึกว่ามันแออัดมาก ตอนที่เรานั่งเราไฟฟ้าดูรอบๆ คนขับรถบอกว่าที่ดินและบ้านเรือนที่นี่แพงมาก ก็แหงหละ เมืองท่องเที่ยวและธุรกิจนี่นา

Golden Gate Bridge

Bay Bridge

San Francisco city

พอนั่งเรือไปถึง Alcaltraz ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของเกาะบรรยายให้ฟังคร่าวๆ ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง หลังจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ใครจะอยู่ที่เกาะนานแค่ไหนก็ได้ จะมีเรือกลับเข้าฝั่งทุกครึ่งชั่วโมงมั้ง ถ้าจำไม่ผิด จะมีตารางเวลาเรือออกติดไว้ให้ เราเข้าไปนั่งฟังประวัติของที่นี่ที่เค้าฉายวีดีโอให้ดูก่อน แล้วค่อยเดินสำรวจไปเรื่อยๆ Alcatraz สมัยก่อนเป็นคุกที่ใช้คุมขังนักโทษ ปัจจุบันกลายเป็นที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อของ San Francisco ไปแล้ว บนเกาะมีทั้งที่คุมขังนักโทษ เรียกว่า Cell house แบ่งเป็นห้องเล็กๆ แต่ละห้องมีทุกอย่างครบไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน โต๊ะทำงาน ชั้นวางของ และที่ขาดไม่ได้คือส้วม นอกจากนี้ก็ยังมีห้องมืดที่ไว้ใช้ทำโทษนักโทษ ห้องสมุด แต่นักโทษมาอ่านหนังสือที่นี่ไม่ได้ คงตัองบอกผู้คุมว่าอยากอ่านหนังสือเล่มไหน แล้วผู้คุมคงเอาไปให้ มีห้องกินข้าวรวม นอกจากนี้ยังมีลานกว้างๆ จำไม่ได้แล้วว่าเอาไว้ออกกำลังหรือไว้ทำสวน และเท่าที่เรารู้ไม่มีใครสามารถหนีออกจากคุกได้เลย แม้จะมีคนพยายามอยู่บ้าง เพราะกว่าจะว่ายน้ำไปถึงฝั่งได้หนาวตายซะก่อน นอกจาก Cell house แล้วก็ยังมีบ้านผู้คุมกับครอบครัวอาศัยอยู่ด้วย ลูกๆ หลานๆ ผู้คุมเช้าก็นั่งเรือไปเรียนที่ฝั่ง เย็นก็นั่งเรือกลับ ที่นี่สมัยก่อนคงเป็นเหมือนอีกโลกเลยแหละ มีหนังหลายเรื่องที่ถ่ายทำที่นี่ เช่น The Rock รายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ Alcatraz ต้องถามหญิง เพราะเธอสนใจมาก ซื้อหนังสือกลับไปเล่มนึงด้วย เราอยู่ที่นี่ประมาณสองชั่วโมงก็นั่งเรือกลับเข้าฝั่ง

Cell house

นกตัวนี่มายืนแอ๊คให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป เลยต้องถ่ายซะหน่อย

San Francisco: Lombard&Sightseeing


วันนี้ (11 กันยายน 2549) ตัดสินใจว่าจะซื้อตั๋ว motorized cable car เพื่อสำรวจเส้นทาง จ่ายไปคนละ 26 ดอลล่าร์ จริงๆ แล้วไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ เพราะที่ที่รถขับผ่าน เราไปมาเกือบหมดแล้ว ยกเว้น Palace of Fine art กะ Golden gate ซึ่งวันนี้มองไม่เห็นตัวสะพายเลย เพราะหมอกจัดมาก เห็นแต่ยอด แต่ก็สวยไปอีกแบบ

รูปนี้ถ่ายจากในรถ สวยดีเหมือนกัน

Palace of Fine art

Golden Gate ในวันที่หมอกปกคลุม สวยไปอีกแบบ

บน Golden Gate เดินไปได้นิดเดียวเพราะหนาวมาก หมอกจัดด้วย

ก่อนที่จะไปนั่ง cable car ตอนเช้าเรากะกันว่าจะเดินไป Golden Gate กันก่อน ออกจากโรงแรมเดินไปเรื่อยๆ จนถึง Maritime มีคนว่ายน้ำเล่นในทะเลตอนเช้าด้วยแหละ หนาวจะตายว่ายเข้าไปได้ไง ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ด้วยนะ

Maritime ทะเลตรงนี้แหละที่บอกว่ามีคนลงไปว่ายน้ำด้วย

แถวๆ Maritime เหมือนกัน

เดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางขึ้นเขา เราไม่แน่ใจว่าต้องปีนขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ ก็เลยเปลี่ยนใจยังไม่ไป Golden Gate วันนี้ แต่จะไป Lombard แทน Lombard เป็นถนนที่เป็นทางหักศอก ไม่ใช่ 90 องศานะ หักยิ่งกว่านั้นอีก มีกระถางต้นไม้คั่นเป็นระยะ ค่อยดูจากรูปละกัน อธิบายไม่ถูก ก่อนจะไปถึงก็ทุลักทุเลพอสมควร บอกแล้วไงว่าไปตามแผนที่ แวะกินอาหารเช้าแถวนั้น พอกินเสร็จเดินไปเรื่อยๆ ไปหยุดข้างๆ ร้านตัดขนสุนัข จะถามใครก็ไม่มีใครเดินผ่านเลย แต่เราก็โชคดีอีกแล้ว คนในร้านเกาะกระจกแล้วถามว่ามีอะไรจะให้เค้าช่วยป่าว คงเห็นเราสองคนกางแผนที่แล้วหันซ้ายหันขวา ไม่รู้จะไปทางไหนดีมั้ง รู้เส้นทางเรียบร้อยก็เดินต่อ แต่ขอบอกว่าโหดมาก เป็นทางขึ้นเขาอ่ะ ปกติถนนที่ San Francisco ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วขึ้นเขาบ้าง ลงเขาบ้าง ป้าสองคนเดินขึ้นเขาเล่นเอาแทบแย่ ขึ้นเขาไม่เท่าไหร่ ลมแรงแล้วก็หนาวด้วยนี่ซิ ต้องพักโด๊ปยาดมกันเป็นระยะ พอขึ้นไปถึงเห็น Lombard ไม่เห็นสวยเลย ดอกไม้ก็ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ ไม่เห็นจะเป็นเหมือนใน postcard หรือ brochure เลย อุตส่าห์ดั้นด้นมา แต่ก็ถ่ายรูปไปหลายรูป นอกจากเป็นถนนที่คดเคี้ยวให้รถขับลงเขาเพื่อเอามันส์แล้ว ยังมีบันไดให้ขึ้นลงได้ด้วย เราเดินลงบันไดไปเรื่อยๆ ไปถึงถนนอีกเส้นนึงมองขึ้นมา โอ..พระเจ้าจ๊อดมันยอดมาก Lombard ที่เห็นใน postcard นี่เอง ก็ตอนแรกมองลงมาไม่เห็นเหมือนในรูป แต่พอมองขึ้นจากข้างล่างถึงได้เห็นไง เอาอีกแล้วครับท่านแทนที่จะเดินมาทางราบ กลับไปเดินขึ้นเขาแทน จริงๆ ก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม แต่เราสองคนอยากออกกำลังกายอ่ะ...

ดอกไม้กะสาวงาม (คิดได้ไงไม่รู้เนอะ)

นี่แหละ Lombard ที่ตามหา

สองศรีพี่น้อง เดินกันขาโป่ง

San Francisco: Fisherman's Wharft

ออกเดินทางจาก Grand Forks วันที่ 9 ก.ย. เวลาบ่ายสองโมงสี่สิบห้านาที โจแอนไปส่งที่สนามบิน ก่อนไปสนามบินแวะกินข้าวเที่ยงที่ Great Wall Buffet โจแอนเป็นเจ้ามือ เครื่องลงที่ Minneapolis ประมาณ 4.08 pm ขึ้นเครื่องต่อไป San Francisco ตอน 5.06 pm ถึง San Francisco ประมาณ 7.19 pm เรียกแทกซี่ไปที่พัก Radisson Hotel Fisherman's Wharf ค่าโรงแรมต่อคืนก็ไม่ถูกนะเนี่ย แต่ไม่มีอาหารเช้าให้ ไม่เป็นไรมีกาแฟกะหม้อต้มกาแฟ เราเอาคุกกี้ไปเผื่อด้วย เก็บของเสร็จไปซื้อน้ำกับอาหารเย็นที่ seven-eleven หลังจากนั้นก็นอนพักเอาแรง


Radisson Hotel At The Whaft


ตื่นเช้ากินกาแฟเสร็จเดินออกจากโรงแรมเจอ Fisherman's Whaft เลยแหละ โรงแรมมีทางเข้าออกสองทาง ด้านนึงติดกะถนน อีกด้านติดกับ Fisherman's Whaft แวะกินอาหารเช้าที่ Johnny Rockets เป็นร้านที่โรงแรมแนะนำไว้ ก็กองทัพเดินด้วยท้องนี่นา ยิ่งแต่ละคนท้องโตๆ อยู่ด้วย ตอนนั่งกินอยู่พนักงานของร้านออกมาเต้นโชว์ด้วย เหมือนว่ามีคนหยอดตู้เพลงแล้วเป็นกฏว่าพนักงานต้องเต้น น่ารักดี Fisherman's Whaft เป็นศูนย์รวมของการท่องเที่ยวที่นี่ ผู้คนพลุกพล่าน เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และทัวร์สารพัดทัวร์ จนงง ไม่รู้จะซื้อทัวร์ไหนดี เพราะเยอะมาก เลยตัดสินใจเดินเล่นแถวนั้น เห็นไรก็ตื่นเต้นไปหมด เดินผ่านร้านขายขนมปัง เค้าปั้นเป็นรูปจระเข้ตัวหย่ายมาก มีคนเกาะกระจกดู เราสองคนเลยเกาะมั่ง จากนั้นก็เดินผ่าน wax museum แต่ไม่ได้เข้าไปดูข้างในนะ หญิงบอกว่าที่นครปฐมบ้านเราปั้นได้เหมือนกว่า เลยไม่ได้เงินค่าเข้าชมจากเราสองคนไป แวะเข้าไปดู museum ที่เก็บของเล่น เครื่องเล่นสมัยก่อน ซึ่งยังเล่นได้อยู่

หุ่นขี้ผึ้งหน้า Wax museum ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร

ของเล่นสมัยก่อน แต่คนที่ยืนข้างหน้านี่ร่วมสมัยนะ อิ..อิ ไม่เชื่อก็ดูผมเธอซิ 'dern ซะลืมอายุ

เดินเลียบทางเดินชายทะเล มองออกไปจะเห็น Alcaltraz Island ซึ่งเป็นเกาะอยู่กลางทะเล ไว้ค่อยเล่าวันที่นั่งเรือไปเที่ยวที่เกาะนี้มานะ จากนั้นก็ไป Pier 41 มองไปเห็น Golden Gate อยู่ลิบๆ Pier 39 มีสิงโตทะเลเยอะมาก ร้องกันระงมเชียว ถ้ายืนดูใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นเหม็นเลยแหละ จากนั้นก็หาข้าวเที่ยงกินกัน แวะซื้อผลไม้แล้วกลับไปนอนพักเอาแรงที่โรงแรม โรงแรมอยู่ใกล้ก็ดียังงี้แหละ แพงหน่อยแต่ไม่ต้องจ่ายค่ารถ เหนื่อยกลับไปพักได้ ตอนเย็นออกตระเวนกันใหม่อีกรอบตั้งใจว่าจะไป China town เดินจากโรงแรม ผ่าน Pier 41 ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง Pier 1 Ferry building มองออกไปก็จะเห็น Bay bridge ด้วย เป็นอีกสะพานนึงใน San Francisco ยาวกว่า Golden gate อีก สะพานเป็นสีเงินเป็นสะพานที่ข้ามไป Oakland ถ่ายรูปเสร็จ แวะซื้อขนมปังสำหรับพรุ่งนี้เช้า หลังจากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ ใช้ความรู้สึกเอาว่าน่าจะเป็นทางที่ไป china town ดูแผนที่แล้วงง หรือจริงๆ แล้วก็ดูแผนที่ไม่เป็นทั้งพี่ทั้งน้อง แฮะ แฮะ.. เดินไปเรื่อยๆ ชักเหนื่อย ไม่มีวี่แววว่าจะไปถึงจุดหมาย พอดีมีผู้หญิงคนนึงเดินไม่ไกลจากเรา หญิงก็เลยเข้าไปถามว่าจะไป China town ไปยังไง เธอใจดีมากเดินไปส่งเราเกือบถึง เธอบอกว่าเธอต้องเดินไปหาแฟนที่ทำงานอยู่ในละแวกนั้นอยู่แล้ว โชคดีเลยเป็นของเราสองคนพี่น้อง แถมเธอยังแนะนำที่เที่ยวอื่นๆ กะอาหารที่มีชื่อของที่นี่ให้อีกด้วย ร้านขายของที่ China town มีเยอะมาก ทำไมไม่มี Thailand town บ้างนะ Japan town ยังมีเลย แวะกินข้าวเย็นแถวนั้น เริ่มต้นด้วยซุปนกพิราบ คิดแล้วยังคลื่นไส้อยู่เลย ไม่ได้สั่งนะ เค้าคงเสิรฟฟรีทุกโต๊ะ ส่วนอาหารอื่นที่สั่งก็มองโต๊ะที่นั่งข้างๆ แล้วบอกเด็กเสิรฟว่าเอาแบบนั้นแหละ อิ่มแล้วก็ออกเดินกลับโรงแรม ค่ำแล้วด้วย เดินไปเรื่อยๆ ตามความรู้สึกอีกแล้วครับท่านว่าน่าจะเป็นทางกลับโรงแรม ไปๆ มาๆ ไปโผล่ที่ Pier 1 เหมือนตอนมาเลย ก็ต้องเดินไปถึง Pier 41 โน่นแหละ แต่นับเป็นเลขคี่นะ Pier 1, 3, 5,..ไปเรื่อยๆ แต่มี Pier แบบครึ่งๆ ด้วย เช่น Pier 351/2 กลับถึงโรงแรมก็วางแผนเที่ยวต่อวันพรุ่งนี้ ที่สำคัญคือต้องเช็คอุณหภูมิทุกวัน ตอนเดินไป China town ทำกิ๊ปโปรดหายไปตัวนึงด้วยแหละ เพราะมัวแต่ถอดๆ ใส่ๆ เสื้อกันหนาว เศร้าไปสองนาที

ตามธรรมเนียมต้องถ่ายกับป้าย

Sea lions

เธอโปรดสิงโตทะเลมาก มันคงน่าเกลียดดี

ธงสวยดี ชอบ ชอบ

ม้ง เดินตัวปลิวเลยนะ (เกือบหลงทาง)

Ferry building Pier 1

Bay Bridge

China Town

อาหารมาก็ตาโตยิ้มแก้มปริ ชามนี้แหละซุปนกพิราบ

สองจานนี้แอบดูที่คนอื่นกิน ก็เลยสั่งมั่ง เป็ดย่าง (หนังหนามาก) กะผัดผักไรไม่รู้